10 อาหารเสริมบำรุงเหงือกแมวที่สัตวแพทย์แนะนำ เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี

 สุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของหลายคนอาจมองข้าม เพราะโรคเหงือกและฟันในแมวสามารถลุกลามจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น การติดเชื้อเรื้อรังหรือเบื่ออาหารได้ ปัจจุบันสัตวแพทย์จึงมักแนะนำ อาหารเสริมบำรุงเหงือกและช่องปาก เพื่อช่วยลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และเสริมภูมิคุ้มกันในช่องปาก

1. โปรไบโอติกส์สำหรับช่องปาก (Oral Probiotics)

ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในปาก ลดเชื้อก่อโรคที่ทำให้เกิดกลิ่นปากและเหงือกอักเสบ

2. สาหร่ายทะเลสกัด (Ascophyllum Nodosum)

มีงานวิจัยยืนยันว่าสาหร่ายชนิดนี้ช่วยลดการเกาะของคราบหินปูนและปรับสมดุลแบคทีเรียในช่องปากแมว

3. วิตามินซีในรูป Ester-C

ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนให้เหงือกแข็งแรง ลดโอกาสการอักเสบ

4. โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)

กรดไขมันที่ช่วยลดการอักเสบของเหงือก และยังบำรุงสุขภาพผิวหนัง-ขนไปพร้อมกัน

5. โคเอนไซม์คิวเทน (CoQ10)

สารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูเนื้อเยื่อเหงือกที่อักเสบ

6. แคลเซียมและฟอสฟอรัส

เสริมความแข็งแรงของฟัน ลดความเสี่ยงฟันโยกหรือหักง่าย

7. วิตามินอี (Vitamin E)

ช่วยลดการอักเสบ และเร่งการซ่อมแซมเซลล์เหงือกที่เสียหาย

8. น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Coconut Oil)

มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ในช่องปาก ช่วยลดกลิ่นปากแมว

9. กลูโคซามีนและคอนดรอยติน (Glucosamine & Chondroitin)

แม้เป็นที่รู้จักว่าดีต่อข้อ แต่ยังช่วยเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออ่อนในเหงือกด้วย

10. สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract)

อุดมด้วย Catechins ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบและกลิ่นปาก

คำแนะนำจากสัตวแพทย์

• ก่อนให้อาหารเสริม ควร ปรึกษาสัตวแพทย์ ทุกครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพของแมวแต่ละตัว

• อาหารเสริมควรเป็น ตัวช่วยเสริม ไม่ใช่การทดแทนการแปรงฟันหรือการทำความสะอาดหินปูนตามรอบ

• สังเกตอาการแพ้ เช่น น้ำลายมากผิดปกติ อาเจียน หรือท้องเสีย หากมีควรหยุดใช้ทันที

✨ การดูแลช่องปากแมวไม่ใช่เรื่องยาก หากใส่ใจทั้งการทำความสะอาดและการเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสม รับรองว่าแมวของคุณจะมีรอยยิ้ม (พร้อมฟันและเหงือก) ที่แข็งแรงไปได้อีกนานถ้าไม่ดูแลอาจส่งผลให้เกิดโรคเหงือกอักเสบหรือช่องปากอักเสบเรื้อรังได้ถ้าต้องการอ่านเพิ่มเติมคลิ๊กลิ้งได้เลยครับ

https://www.precision-vet.com/2025/09/25/feline-chronic-gingivostomatitis-vs-feline-gingivitis/